ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

Passacaglia

Passacaglia (Spanish: pasacalle; French: passacaille; Italian: passacaglia, passacaglio, passagallo, passacagli, passacaglie)
The Passacaglia เป็นรูปแบบดนตรีในช่วงศตวรรษที่ 17 มีรากฐานมาจากบทเพลงเต้นรำของสเปน ยังคงใช้นักประพันธ์เพลงร่วมสมัย รูปแบบของเพลงจะหนักแน่น แต่ไม่สม่ำเสมอ เบสมีลักษณะที่เรียกว่า Ostinato และเขียนอัตราจังหวะในแบบ ¾
Passacaglia ถูกค้นพบในอิตาลีปี 1606 และกลับมาทำใหม่อีกครั้งในปี 1620 โดย Girolamo Frescobaldi นักประพันธ์ชาวอิตาลี เขาได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของแนวเบสให้ต่อเนื่องมากขึ้น ซึ่งนักประพันธ์ยุคหลังก็ได้นำรูปแบบนี้มาใช้ เช่นเดียวกับ Chaconne ได้รับการปรับปรุงพัฒนาจาก Frescobald ซึ่งดนตรี 2 ประเภทนี้มีความใกล้เคียงกันมาก ทั้ง 2 ประเภทแตกต่างกันโดย Chaconne มีการใช้เสียงประสานที่เป็นมีความสัมพันธ์กับทำนองแนวบนสุด จะสร้างแนวเบสจากแนวทำนอง แต่ในขณะที่ Passacaglia ทำแนวเบสที่มีรูปแบบไว้ก่อน แต่ในศตวรรษที่17 และ18 นักประพันธ์ส่วนใหญ่ทำให้ดนตรี 2 ประเภทนี้ให้มีลักษณะการประพันธ์ที่เหมือนกัน ตัวอย่างเพลงที่มีชื่อเสียง คือ Passacaglia and Fugue in C minor, BWV 582 เป็นบทเพลงสำหรับออร์แกนของ Johan Sebastian Bach

Ein' feste Burg ist unser Gott

Ein' feste Burg ist unser Gott (A Mighty Fortress Is Our God) โดยมาร์ติน ลูเธอร์ เขาประพันธ์เนื้อร้อง และทำนองในช่วงปี ค.ศ. 1527 ถึง 1529 เดิมทีเพลงนี้มีเนื้อร้องเป็นภาษาเยอรมัน และได้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ อีกกว่า 70 ภาษา K.F.T. Schneider กล่าวว่า เพลงนี้เป็นเพลงสรรเสริญเพื่อนของมาร์ตินที่ชื่อ Leonhard Kaiser ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 1527
‘A Mighty Fortress Is Our God’ เพลงซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีของนิกาย Lutheran และ Protestant มีคนเรียกเพลงนี้ว่า “ เพลงสวดแห่งการปฏิวัติ ” อิทธิพลของเพลงนี้ทำให้มีการสนับสนุนการปฏิวัติมากขึ้น

Alessandro Scarlatti


Alessandro Scarlatti (2 May 1660 – 24 October 1725) คีตกวีชาวอิตาลี มีชื่อเสียงมากในบทเพลง Opera และ Cantata เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Neapolitan School เขาเป็นบิดาของนักประพันธ์อีกสองท่าน คือ Domenico Scarlatti และ Pietro Filippo Scarlatti
Scarlatti เกิดที่ Palermo เขาพูดว่า เขาเคยเรียนกับ Giacomo Carissimi ที่กรุงโรม ให้เขามีการติดต่อสัมพันธ์กับทางเหนือของอิตาลี เพราะผลงานของเขาได้รับอิทธิพลจาก Stradella และ Legrenzi เขาสร้างผลงาน Opera เรื่อง Gli Equivoci nell sembiante ในปี 1679 โดยได้รับการว่าจ้างจาก Queen Christina of Sweden หลังจากนั้น เขาได้กลายมาเป็น หัวหน้าควบคุมวงนักร้องประสานเสียง ในปี 1684 ที่ Naples งานของเขาส่งอิทธิพลอย่างมาก ให้กับนักร้อง Opera และชนชั้นสูงที่ Neapolitan งานของเขาเน้นเรื่องการแสดงออกทางอารมณ์
ในปี 1702 Scarlatti ย้ายออกจาก Naples และไม่สามารถจะกลับไปจนกระทั่งสเปนชนะสงครามและเข้ายึดครองเมือง แม้สถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก แต่ในช่วงเวลานี้เขาก็ยังได้รับการสนับสนุนจาก Ferdinando de' Medici เจ้าของโรงละคร ใกล้ Florence ที่นี่เขาประพันธ์เพลง Opera และทำงานกับ Cardinal Ottoboni ผู้เป็นหัวหน้าวงขับร้องประสานเสียง
หลังจากการไปเยือนเมือง Venice และ Urbino ในปี 1707 Scarlatti กลับมาที่ Naples อีกครั้งในปี 1708 เพื่อดูแลวงดนตรีให้แก่ออสเตรียน ไวซ์รอย (Austrian Viceroy) ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของสถาบันการดนตรี Conservatory di Sant’ Onofrio หลังจากนั้นใน ปี ค.ศ. 1719 เขาก็ถึงแก่กรรมในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1725
Scarlatti ประพันธ์เพลง Opera ทั้งหมด 115 เรื่อง Oratorios 20, Masses 10, Concertos 12, Solo cantatas with basso 600 เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกในแบบ New Monodic Style

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

Gioseffo Zarlino


Gioseffo Zarlino (January 31 or March 22, 1517 – February 4, 1590)

นักทฤษฎีดนตรีชาวอิตาลี และผู้ประพันธ์เพลงในยุคเรเนอร์ซองค์ งานทางด้านทฤษฎีดนตรีของ Zarlino เป็นผลงานที่เป็นที่ยอมรับ และมีชื่อเสียงมาก งานทฤษฎีที่สำคัญมากคือ งานทฤษฎีเกี่ยวกับCounterpoint
Zarlino เกิดที่ Chiaggia และจบการศึกษาจาก Franciscans ในปี 1536 เขาเป็นนักร้องที่ Chioggia Cathedral, ปี 1539 เขากลายมาเป็นหัวหน้าวงดนตรีในกลุ่มคริสเตียน, ปี 1541 เขาย้ายออกไปที่ Venice เพื่อที่จะไปศึกษากับนักประพันธ์เพลงที่มีความชำนาญด้าน Counterpoint ที่ Saint Mark’s สอนโดย Adrian Willaert (นักประพันธ์กลุ่มเวียนนา) ในปี 1565 Zarlino ได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าวงขับร้องประสานเสียงที่ St. Mark's ทำให้เขากลายเป็นผู้มีชื่อเสียงมากทางด้านดนตรีในอิตาลี ในขณะที่เป็นผู้ดูแลวงที่นี่ ทำให้เขาได้สอนนักประพันธ์ในเวียนนาหลายคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ เช่น Claudio Merulo, Girolamo Diruta, Giovanni Croce และ Vincenzo Galilei

GUIDO D' AREZZO




GUIDO D' AREZZO เป็นนักบวชในกลุ่มของ St. Benedict เป็นผู้คิดค้นระบบการบันทึกโน้ต (Staff-Notation) เขามีความรู้ทั้งทางด้านศิลปะการดนตรีและวิทยาศาสตร์ ทำงานด้านการสอนและการแสดงบทเพลงสวด
เขาสามารถคิดค้นวิธีการเขียนอธิบายโน้ตให้นักร้องได้ร้องตามเสียงที่กำหนด และทำให้คนทั่วไปรู้จักกับเพลงสวด โดยในช่วงแรกๆที่เขาเป็นนักบวชอยู่ที่ ปอมโปซา (Pomposa) ใกล้กับเมืองเฟอรารา (Ferrara) วิธีการของเขาทำให้บทเพลงได้รับความสนในจากนักร้อง แต่แล้วก็สร้างความไม่พอใจให้กับนักบวชคนอื่นๆทำให้เขาต้องย้ายออกจาก ปอมโปซา และเข้าไปอยู่ที่เมือง Arezzo โดยทันที ที่นี่มีนักร้องประจำโบสถ์กลุ่มใหญ่ ทำให้เขาได้รับเชิญจากพระสังฆาธิการ Tedald ให้เข้าควบคุมวงนักร้องที่ท่านฝึกสอนอยู่
ขณะที่สอนอยู่ที่เมือง Arezzo เขาพัฒนาการสอนของเขาโดยเฉพาะใช้ Staff notation และ Solfege โดย GUIDO นำต้นแบบของ "do-re-mi" scale แล้วนำมาใส่คำในแต่ละอักษร เขาใช้โน้ต 6 ตัวแรกจากวลีใน hymn Ut queant laxis (บทเพลงสรรเสริญใน John the Baptist) และนอกจากนั้นงานชิ้นสำคัญของเขาคือ การสร้าง Guidonian Hand เป็นระบบที่ทำให้จำโน้ตได้ง่าย โดยการนำชื่อโน้ตมาเขียนเป็นลักษณะคล้ายแผนที่ลงตามจุดต่างๆในมือมนุษย์ ที่นี่เขาได้เขียนตำราชื่อ The Micrologus เพื่ออุทิศให้กับ พระสังฆาธิการ Tedald งานเขียนของเขาได้ดึงดูดความสนใจจากพระสันตะปาปายอห์นที่ 19 ซึ่งได้เชื้อเชิญให้เขาไปยังนครวาติกันในราวๆ ปี ค.ศ.1028 แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาได้เดินทางกลับมาที่เมือง Arezzo อีกครั้งเนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ หลังจากนั้นเรื่องราวของเขากลับหายเงียบไป ยกเว้นเรื่องงานเขียน Antiphoner ของเขาที่สูญหายไปในภายหลัง และถูกเขียนต่อจนเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1030
ชื่อของ Guido of Arezzo ถูกนำไปตั้งชื่อเป็นโปรแกรม GUIDO Music Notation เป็นระบบการนำเสนอการเขียนโน้ตเพลงด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์

Gallican rite

Gallican rite
เป็นเพลงสวดแบบ monophonic ใช้บรรเลงในโบสถ์ของชาวคริสเตียน ของ Gual ก่อนจะมี Gregorian Chant ถูกแต่งขึ้นในช่วงกษัตริย์เปแปง (Pepin) และ Charlemagne ยังคงมีอยู่ในคลังของ Gegorian และที่อื่นๆ เป็นบทเพลงที่ให้ความสำคัญกับเสียงที่ไพเราะและอารมณ์ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนของผู้ร้อง มีบางส่วนที่คล้ายคลึงกับบทเพลงสวดแบบ Ambrosian และ Mozarabic มักจะเข้าใจง่ายๆว่า Gallican คือเพลงแบบ Non-Roman
บทเพลงสวด Gallican ถูกใช้ใน Iberian peninsula, Septimania, Merovingian and Belgic Gaul, the Celtic areas และ บางพื้นที่ใน Milan ซึ่งแพร่หลายเป็นอย่างมากในช่วง ศตวรรษที่ 5 – ศตวรรษที่ 11 และในปัจจุบันมีใช้อยู่ที่ Archdiocese of Lyon ประเทศฝรั่งเศส